i128lala
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

THEN CAME YOU : 03

Go down

THEN CAME YOU : 03 Empty THEN CAME YOU : 03

Post by i128lala Sat Mar 08, 2014 4:19 pm

Then came you
03

“ปะตูไซ ถ้ามาถึงเวียงจันทร์ก็ต้องมาที่นี่ครับ”
ณ อนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนลาวผู้เสียสละชีวิตในสงคราม คริสเห็นสีสันมากมาย เห็นความหลากหลายที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ผ่านเครื่องเตือนใจให้ประชาชนรุ่นหลังได้ตระหนักว่าสงครามไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร
ทว่าสงครามที่ว่าร้ายกาจ ยังไม่เท่าสงครามที่ร้ายที่สุด คือ การทำสงครามกับใจของคน
เพราะคำว่าสงคราม พาคริสย้อนกลับไปยังสถานที่ที่เขาจากมา วงการบันเทิงมีสงครามเกิดขึ้นทุกวัน ใครที่อยู่รอดก็ได้เปล่งประกาย แต่ก็ไม่ลืมที่จะกระชับด้ามมีดที่พกไว้ รอเพื่อแทงข้างหลังใครอีกหลายคนภายใต้รอยยิ้ม ความกดดัน การแข่งขัน ชื่อเสียงที่โถมกระหน่ำราวกับทำสัญญากับปิศาจ
ไม่มีใครคิดถึงตัวตนที่แท้จริงของใคร มีแต่เพียงภาพลักษณ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นให้ดูงดงามเท่านั้น
ก่อนหน้าที่จะเข้าวงการ คริสก็คิดว่ามันสวยงาม มันคือใฝ่ฝันทั้งชีวิต ความใฝ่ฝันที่มากพอที่จะแลกกับเส้นทางอีกเส้นที่เขารัก คือการเล่นบาสเก็ตบอล และมากพอที่จะทำให้เขาจากชีวิตที่แคนาดามาเผชิญกับโชคชะตาและพนันกับมัน
ดวงตาคมภายใต้กรอบแว่นเรย์แบนด์ทรงอเวียเตอร์เหลือบมองไปที่ชายหนุ่มข้างกายที่ยืนมองประตูชัยด้วยท่าทีสบายๆ ดวงตาโตมองตรงไปข้างหน้า ราวกับไม่มีอดีตให้ระลึกถึง
“ได้รับอิทธิพลจากประตูชัยในกรุงปารีส แต่ก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาว อยากลองขึ้นไปดูไหมครับ”
“เอาสิ ท่าจะสูงอยู่นะ”
“เขาว่ากันว่า ถ้าได้ขึ้นไปถึงยอดของปะตูไซ จะได้แต่งงานกับคนลาวนะครับ”
“แล้วอย่างนายนี่จัดเป็นคนลาวหรือเปล่าล่ะ”
“อันนี้ผมไม่แน่ใจแฮะ ลองขึ้นไปดูกันก่อนไหมครับ จะได้รู้ว่าหมู่หรือจ่า” เสียงทุ้มๆหัวเราะออกมา พลอยทำให้คริสต้องหัวเราะตามไปด้วย
“นั่นสินะ ถึงตอนนั้นฉันคงรู้แล้วล่ะ ว่าหมู่หรือจ่า”

.
.

น้ำในแม่น้ำโขงยังคงไหลเอื่อย แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยามเย็นไล่ไปทั่วผิวน้ำทำให้แม่น้ำที่ไหลเอื่อยอาบไปด้วยเฉดสีส้มหลากสี เหมือนสีสันที่อยู่ในบทเพลง สีสันที่อยู่ในอากาศ สีสันของชีวิต หลังจากกลับจากประตูชัยแล้ว ชานยอลก็ชวนคริสไปซื้อของมาทำอะไรกินกันที่เกสต์เฮาส์
“อี้ฟานอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ”
“ฉันเห็นอะไรก็อยากกินไปหมดนั่นแหละ” เมื่อชานยอลถาม คริสก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ชายหนุ่มไม่ถนัดในการทำอาหารนัก ไม่เหมือนชานยอล รสมือเยี่ยมนัก ตั้งแต่คริสมาพักที่เกสต์เฮาส์ ก็ได้มีโอกาสทานฝีมือของชานยอลอยู่หลายครั้ง
“ช่วงนี้อาหารทะเลลดราคาอยู่นะ ผมว่าให้อาหารสักจานเป็นอาหารทะเลก็ดีเหมือนกันนะ” ด้วยความที่เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตแถวเกสต์เฮาส์ทำให้ชานยอลรู้ว่าอะไรลดราคา ของชิ้นไหนคุณภาพดี หรือกำลังจะโละอะไรขายราคาถูกๆ
คริสพยักหน้ารับ แล้วเดินตามชานยอลไปที่แผนกอาหารทะเลซึ่งอยู่ด้านในสุด จริงอย่างที่ร่างโปร่งบอกเสียด้วย ตอนนี้อาหารทะเลกำลังลดราคา ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา และที่สำคัญคือ ความสด ชานยอลชี้ให้คริสดูปลาหมึกตัวอวบอ้วนแพ๊คใส่ห่ออย่างสวยงามวางเรียงอยู่บนชั้น
“พอเห็นปลาหมึกตัวอ้วนๆขาวๆแบบนี้ ผมคิดถึงปลาหมึกทอดกระเทียมขึ้นมาเลย เอาปลาหมึกมายัดไส้หมูสับเหมือนทำแกงจืด แล้วเอาไปทอดกรอบๆ อร่อยอย่าบอกใครเลยครับ ตอนเด็กๆผมชอบทาน แม่เลยทำให้ทานบ่อย”
ตอนแรกคริสคิดแค่ว่าปลาหมึกแบบนี้ถ้าเอาไปเผาล่ะก็คงอร่อย แต่พอชานยอลพูดถึงปลาหมึกทอดกระเทียมก็ทำให้คนตัวสูงอยากทานขึ้นมาทันที คริสจึงหยิบปลาหมึกสองแพ๊คใส่ตะกร้า “พูดให้อยากกินดีนัก นายต้องรับผิดชอบเลยเชียว!”
ชานยอลเห็นสีหน้าของคริสที่แกล้งทำเป็นโมโหก็หัวเราะร่วนออกมา “ดีเลยครับ ถ้าจะทำปลาหมึกทอดกระเทียมล่ะก็ต้องหาสามเกลอ ผักชี พริกไทย กระเทียม เอาไว้ด้วยนะ”
“ครับ” คริสทำท่าคล้ายทหารรอรับคำสั่งจากผู้บัญชาการชานยอล ซึ่งการทำท่าประหลาดนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากชานยอลได้มากโข ทั้งคู่เดินเตร่อยู่แผนกอาหารทะเลสักพักก็ได้หอยแมลงภู่สองกิโล กับกุ้งสดมาเพิ่มอีกสองอย่าง
“หอยนี่เอาไปแช่น้ำปลาดองเก็บไว้แล้วเอาออกมาทำยำหอยดองกินกับข้าวร้อนๆนี่ท่าทางจะอร่อยนะครับ ไว้อีกเจ็ดผมจะยำให้ทานนะ อี้ฟานทานเผ็ดได้ไหม ผมจะลองยำแบบลาวให้ทาน รสจัดนิดนึง”
“ถ้าเป็นนายทำ ก็น่าจะอร่อยมากพอที่จะลืมความเผ็ดล่ะมั้ง”
ว่ากันว่า อาหารการกินคือเรื่องธรรมดาสามัญที่สุดของมนุษย์
เมื่อไหร่กันที่คริสรู้สึกว่าการเลือกซื้ออาหารการกินของเขามันเป็นเรื่องพิเศษได้ถึงขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีร่างสูงก็พบว่าตัวเองมีความสุขกับเรื่องง่ายๆอย่างการได้ถือตระกร้าเดินตามชานยอลที่เพลินกับการเลือกซื้อของเข้าบ้าน แม้คนที่สูงน้อยกว่าประมาณสองเซ็นจะพยายามแย่งตระกร้าจากมือคริสมาถือเองหลายครั้ง แต่คริสก็ใช้ความที่เป็นคนตัวสูงกว่าเป็นข้ออ้างทุกที
“หนักไหม แบ่งกันถือเถอะครับ ตอนผมขับรถน่ะ เดี๋ยวอี้ฟานก็ได้ถือสมใจอยากแล้ว ตอนนี้ให้ผมช่วยถือก่อน จะได้ไม่หนัก”
คริสอยากจะบอกว่าเขาต้องออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อรูปร่างที่ต้องรักษาให้ดูดีอยู่เสมอ วันหนึ่งๆต้องยกเวทหลายกิโล เทียบความหนักกับไอ้ถุงสองสามถุงที่อยู่ในมือของไม่ได้เลย ตอนนี้ให้คริสอุ้มชานยอลขึ้นพาดบ่าอีกคนก็ยังสบาย
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะอุ้มกลับเกาหลีไปด้วยเสียเลย
“ไม่หนักหรอก แต่เบียร์ที่เรากำลังจะไปซื้อนี่แหละที่จะหนัก วันนี้ดื่มกันเถอะ” คริสชวน ค่ำคืนแรกที่ริมแม่น้ำโขงยังตราตรึงใจ มันนุ่มนวลเหมือนเบียร์ลาว เข้มข้นเหมือนกาแฟร้อนๆตอนเช้า และความรู้สึกนั้นก็มากพอจนชายหนุ่มอยากจะให้มันย้อนกลับเยี่ยมเยียนอีก
“เดี๋ยวค่อยออกมาซื้ออีกรอบก็ได้ครับ แถวเกสต์เฮาส์ มีร้านอยู่ร้านหนึ่ง เรากลับไปเก็บของก่อนก็ได้ จะได้ไม่ต้องถือหนักมาก”
ถ้าคริสเดาไม่ผิด สิ่งที่เขาได้รับจากชานยอล มันคือความใส่ใจ
ใช่ไหม?

.
.

“นั่น กุหลาบหนูครับ”
กุหลาบดอกน้อยสีขาวมัดเป็นช่อห่อรวมกันแล้วห่อด้วยใบตองวางอยู่ที่แผงดอกไม้สดหน้าร้านสะดวกซื้อเรียกความสนใจจากคริสได้มากโข ชานยอลที่เห็นร่างสูงยืนจดจ้องเจ้ากุหลาบดอกน้อยนั้นก็อดไม่ได้ที่จะให้ความรู้
ก็จริงอย่างที่ชานยอลว่า ถ้าไม่บอก คริสก็ตีความว่าเป็นกุหลาบ
“ลาคาเท่าใดครับ”
“พันสองร้อยกีบจ้า”
“มีส่วนลุดสำลับเด็กน้อยบ่?”
“เจ้าบ่แม่นเด็กน้อย เจ้านี่ใหญ่แล้ว”
“เอ้า เอ้า สุดแล้วแต่เอื้อยจะตัดสินใจ”
ชานยอลหัวเราะพลางหยิบเงินส่งให้แม่ค้าวัยกลางคนอารมณ์ดีแลกกับดอกกุหลาบหนูช่อสุดท้าย คริสฟังไม่ออกว่าชานยอลพูดว่าอะไรบ้าง แต่เมื่อเสียงหัวเราะของคนสองวัยก็พลอยทำให้คนรอบข้างอยากจะหัวเราะตามไปด้วย
ตั้งแต่มาที่นี่ ต่อมรับความสุขของคริสทำงานมากกว่าที่มันเคยทำตอนอยู่ที่โซลทั้งปีเสียอีก!
ชานยอลประคองช่อกุหลาบหนูไว้ในมืออย่างนุ่มนวล โดยมีคริสเดินถือถุงเบียร์ตามหลังมา พอถึงหน้ารั้วบ้าน ร่างโปร่งก็หยุดเดิน ก่อนจะยื่นช่อกุหลาบให้คริส
“เอ้า ผมให้”
การกระทำนั้นเรียกความแปลกใจจากคริสได้มากพอที่จะเก็บเอาไว้ไม่อยู่ คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้นประหนึ่งเป็นเครื่องหมายคำถาม
“เห็นมองอยู่ตั้งนาน ผมเลยซื้อให้ คิดว่าอี้ฟานน่าจะชอบ”
คริสวางถุงเบียร์ที่ถือเอาไว้ลงข้างตัว ก่อนจะเอื้อมมือไปรับช่อกุหลาบหนูมาถือไว้อย่างแผ่วเบาราวกับว่าหากเขาเพิ่มแรงกดอีกเพียงนิดจะทำให้กุหลาบช่อน้อยแหลกคามือ
“บางที การซื้อดอกไม้ให้ตัวเองบ้าง ก็ดีเหมือนกันนะครับ”
“ขอบคุณนะ”
คริสตอบสั้นๆ นิ้วเรียวของชายหนุ่มหยิบดอกกุหลาบหนูสีขาวดอกเล็กที่กระเป๋าเสื้อขึ้นมากดจูบลงที่กลีบบางอย่างนุ่มนวล ก่อนจะบรรจงเสียบดอกกุหลาบดอกน้อยนั้นกับเรือนผมของชานยอล
ริมฝีปากสีแดงคลี่ยิ้มกลับมา
นำพาความรู้สึกอบอุ่นหัวใจแผ่ซ่านไปทั่วร่างอย่างน่าประหลาด หากมีใครสักคนเข้ามาทำให้หัวใจที่แห้งผากเริ่มมีสีสันขึ้นมา มันก็เป็นความรู้สึกเดียวกันกับเขานี้เองกระมัง
“บางที การให้ดอกไม้กับใครสักคน ก็ดีเหมือนกันนะ”
คริสทิ้งท้ายเพียงเท่านั้น ก่อนจะหยิบถุงเบียร์ที่วางไว้ข้างกายเดินเข้าไปในบ้านก่อน หากไม่เช่นนั้น เขาคงได้เห็นรอยยิ้มของชานยอล
อีกครั้ง

.
.

“ช่วยผมจัดโต๊ะก็ได้ครับ จะจัดที่สวนหลังบ้านก็ได้ จัดเสร็จแล้วก็อ่านหนังสือรอในห้องสมุดก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเรียกเอง”
ชานยอลบอกให้คริสไปหาอะไรทำ ระหว่างที่ร่างโปร่งทำอาหาร แม้คริสยืนกรานที่จะช่วย แต่เหตุผลร้อยแปดประการของชานยอลทำให้คริสจำต้องลาถอย และทำตามคำสั่งแทน
การทำอาหารใช้เวลายาวนาน เทียบไม่ได้กับการจัดโต๊ะเลย
หลังจากที่คริสจัดการยกโต๊ะไม้เล็กๆไปตั้งไว้ที่สวนหลังบ้านและจัดการจัดมันให้ดูดีเตรียมพร้อมสำหรับมื้อค่ำ ชายหนุ่มก็หมดเรื่องที่จะทำแล้ว ครั้นจะไปเป็นลูกมือของชานยอลในครัวก็เกรงว่าจะกลายเป็นตัวป่วนเสียมากกว่า
เขาห่างเหินจากการทำอาหารมานานแล้ว
คริสเดินกลับเข้ามาในบ้าน นึกขันตัวเองที่เชื่อฟังคำสั่งของชานยอลทุกคำ พอจัดโต๊ะเสร็จเขาก็เดินขึ้นไปยังห้องสมุดเล็กๆเพื่อนั่งอ่านหนังสือรอ
ดวงตาคมกวาดไปตามชั้น หมายจะหาหนังสือดีๆสักเล่มอ่าน ก็อย่างที่บอกรสนิยมการอ่านหนังสือของชานยอลจัดว่าดีมาก คริสแทบจะไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือดีหรือเปล่า เขาแค่หาหนังสือเล่มที่ถูกจริตกับเขาเท่านั้น
Just send me word
By Orlando Figes
คำโปรยที่หน้าปกเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ใช้คำง่ายๆ ทว่ากินใจนัก
"Only you will know how I survived; It was because you waited."
เมื่อคริสเปิดหนังสือออก กระดาษแผ่นหนึ่งก็ร่วงลงมา คริสไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท ทว่าตัวหนังสือที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะอ่านมัน
แล้วคริสก็ได้รู้
บางเสี้ยวของสิ่งที่คริสโตเฟอร์เล่าให้เขาฟัง

ถึง พยอนแบคฮยอน

ความเจ็บปวดที่ฉันได้รู้สึกมันยากเกินจะบรรยาย ภาพของนายในความทรงจำฉันยังกระจ่างชัด ใบหน้าของนาย รวมถึงทุกอย่างที่เป็นนาย
นายคงรู้ว่าฉันเป็นคนไม่ชอบงานเขียน แต่จำต้องเขียน ก่อนที่ความรู้สึกของมันจะจางหายไปกับกาลเวลา แบคฮยอน ฉันรู้ว่านายยังคงเป็นแบคฮยอนที่ฉันได้รู้จัก ได้รักนาย ถึงแม้ว่าฉันไม่รู้ว่าตอนนี้นายจะอยู่ที่เดิมหรือเปล่า นายทำอะไรอยู่ แต่ได้โปรดระลึกไว้เสมอเถิดว่านายเป็นดอกไม้ที่สวยงามสำหรับฉันตลอดกาล
นายยังจำได้ไหม วันแรกที่เราพบกัน ฤดูร้อน ในปีนั้น นายสวมสูทสีขาว ส่วนฉันก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งเฝ้ามองนายร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์ ฉันรู้สึกรักการไปโบสถ์ที่สุดก็เพราะนายนี่แหละ ในปีนั้นต้นแม๊กโนเลียตามทางเดินของเมืองเราเบ่งบานอย่างสวยงาม ใบสีขาวของมันปลิวไปกับสายลมเจือด้วยกลิ่นหอมของดอกไลแลก ฉันรู้สึกว่าฉันช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอกับนาย
เราเติบโตมาพร้อมๆกัน เมืองของเราไม่ใช่เมืองที่ใหญ่โตอะไร ทำไมฉันถึงจะหานายไม่เจอล่ะ จริงไหม ? แบคฮยอนอา ความฝันที่เราสร้างด้วยกัน ชื่อของนายกับฉันที่สลักคู่กันใต้ต้นแม๊กโนเลียข้างโบสถ์ และทุกๆอย่างมันสลายหายไปหมด จวบจนตอนนี้ฉันก็ยังไม่อาจจะทำใจได้ เมื่อฉันกลับมาเกาหลีอีกครั้ง นายอยู่ในอ้อมกอดของคนอื่น ฉันรู้ว่าฉันไม่มีอะไรควรค่าแก่การยืนข้างนายอีกแล้ว เขาคนนั้นมีทุกอย่าง หน้าตา สมบัติ และ ความรักที่มีต่อนายเต็มเปี่ยม แม้ว่าในใจของฉันอยากร้องตะโกนว่า ฉันรักนายมากขนาดไหน
ความรักคือการเสียสละ มีคนเคยบอกฉันว่าอย่างนั้น และฉันรักนาย
ไม่มีถ้อยคำใดที่จะงดงามในความรู้สึกของเราอีกแล้ว นอกจากคำว่ารัก ในดวงตาของฉัน ในดวงตาของนาย ฉันอิ่มใจที่ยังรู้ว่าเรารักกันเสมอ ไม่ว่านานแค่ไหน เพียงแต่ว่าเราไม่ได้อยู่ด้วย ก็มิอาจจะแปลได้ว่า เราไม่ได้รักกัน ถึงแม้ว่าฉันจะต้องจากไปไกลแสนไกล แต่ความรักของฉันจะอยู่รอบตัวนายเสมอ แม้ฉันจะไม่ใช่คนที่ปกป้องนายได้อีกแล้ว ฉันหวังว่าเขาคนนั้นจะดูแลนายได้ดีกว่าฉัน
แต่ถึงกระนั้น ฉันเองก็ยังหวังว่า ช่วงเวลาหนึ่ง จะได้พบนายอีกครั้ง แม้มันจะอยู่ห่างไกลจากสิ่งที่ฉันเรียกว่า การมีชีวิตอยู่มากนัก

รักนายเสมอ
ปาร์ค ชานยอล

คริสรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว กระดาษเริ่มมีความกรอบและเหลือง มันคงเป็นจดหมายที่ชานยอลเขียนเอาไว้นานแล้ว
น่าแปลกที่ความรักของปาร์คชานยอลคือการเสียสละ แต่สำหรับอู๋อี้ฟานความรักคือการต่อสู้
คริสพับจดหมายที่ไม่ได้ส่งฉบับนั้นสอดกลับเข้าไปในหนังสือ ก่อนจะหยิบมันกลับไปวางบนชั้นตามเดิม อดีตคือเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ อนาคตคือสิ่งสำคัญกว่า คริสไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาในห้องสมุดนานเท่าไหร่ จนกระทั่งแว่วเสียงชานยอลที่ตะโกนเรียกเขานั่นแหละ ร่างสูงถึงได้ทิ้งความทรงจำของชานยอลไว้ข้างหลัง
ก้าวไปสู่อนาคต

.
.

ค่ำคืนนั้นริมแม่น้ำโขง คริสกับชานยอลนั่งอยู่ด้วยกันที่พื้นหญ้า
อาหารรสชาติเยี่ยม แกล้มกับเบียร์ลาวคือสวรรค์ คริสยังคิดว่าหากชานยอลไม่เปิดเกสต์เฮาส์คงไปเป็นพ่อครัวเปิดร้านอาหารได้สบายๆ
และเรื่องราวต่างๆก็ถูกแลกเปลี่ยนกัน ในค่ำคืนที่มือมิดและมีเพียงแสงจากบ้านริมน้ำที่สว่างอยู่ไกลๆ
“นายเรียนจบอะไรมาหรือ”
“ศิลปกรรมครับ”
“หืม ด้านไหนล่ะ”
“ภาพวาดสีน้ำมันครับ”
“ฉันนึกว่านายน่าจะเรียนทำอาหารมาเสียอีก”
“ผมชอบทำอาหารก็จริงนะครับ แต่การวาดรูปเหมาะกับผมมากกว่า โชคดีที่ที่บ้านเข้าใจ เรื่องมันก็เลยง่าย ผมว่าผมโชคดีที่บ้านของผมไม่เคยมีคำถามสำหรับการตัดสินใจของผมเลยสักครั้ง”
“รวมถึงการมาที่นี่ด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ครับ เรื่องนั้นก็ด้วยเหมือนกัน” ชานยอลขยิบตาให้กับคริสที่นั่งมองหน้าร่างโปร่งอยู่ ก่อนที่เสียงหัวเราะทุ้มๆจะดังขึ้น “ผมก็เหลวไหลบ้างตามประสา มาคิดๆดูแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีชีวิตที่ดี ตอนนี้ก็เลยหายซ่าไปพักใหญ่”
คริสคิดไม่ออกเลยว่าเจ้าของรอยยิ้มที่สวยงามเหมือนดวงตะวันจะเป็นคนเหลวไหลได้อย่างไร แต่เขาเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า จะมานั่งอยู่ตรงนี้และดื่มด่ำทุกวินาที
“ฉันเคยอยากเป็นนักบาสเก็ตบอล แต่ตอนนี้ก็ล้มเลิกความฝันนั้นไปแล้วล่ะ”
“ความฝันอยู่กับเราเสมอนั่นแหละครับ เพียงแต่เราจะหยิบมาชื่นชมหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง”
แล้วความเงียบก็เข้าครอบครองทั้งคู่ คริสไม่ได้ตอบกลับประโยคของชานยอล แต่เลือกที่จะที่จะเงียบแทน แต่เป็นชานยอลที่พูดขึ้นมาก่อน
“แล้ววันนี้ได้ซื้อของที่ระลึกมาบ้างหรือเปล่าครับ”
“ไม่ได้ซื้อหรอก ฉันไม่ค่อยชอบซื้อของที่ระลึกเท่าไหร่ สุดท้ายมันไม่ได้ช่วยให้ระลึกอะไรหรอก ช่วยให้รกมากกว่า” คริสว่า จริงอยู่ที่ความทรงจำทั้งหลายไม่มีวันหมดอายุ แต่คนเรากลับไม่มั่นใจในความทรงจำของตัวเองเอาเสียเลยถึงต้องซื้อของที่ระลึกที่ไปที่ประเทศไหนก็มีมาตั้งเอาไว้ ไม่สิ เราไม่ได้ต้องการระลึกอะไรหรอก เราก็ต้องการแค่สิ่งของที่บ่งบอกว่า เราเคยไปที่นั่นที่นี่มาแล้ว เท่านั้นเอง
“ผมชอบจำมากกว่า” ชานยอลว่าบ้าง ก่อนดวงตากลมโตจะหันมาสบกับดวงตาคมของคริสตรงๆ แล้วส่งยิ้มให้อีกครั้ง “ความทรงจำอะไรบางอย่างมันไม่น่าจดจำ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นเรา ผมเลยไม่เคยลืม และไม่เคยลืมได้สักทีด้วย”
“ความทรงจำสร้างใหม่ได้เสมอนั่นแหละ เหมือนกับความหวังไงล่ะ อีกกระป๋องไหม”
เบียร์กระป๋องแล้วกระป๋องเล่า ถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากของคนทั้งคู่ ระดับแอลกอฮอลล์ที่เพิ่มมากขึ้น กับความร้อนที่ซ่านอยู่ในอก
“คริส”
“ครับ?”
สิ้นเสียงตอบรับของเขา คริสก็พบว่าชานยอลโผเข้าหาอ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มประคองศีรษะน้อยแนบกับหน้าอกอย่างนุ่มนวล เสียงหัวใจที่เต้นแรงนั่นทำให้คริสรู้ว่าชานยอลคงคิดแบบเดียวกันกับเขาแน่
“หัวใจเต้นแรงจัง”
“มันเป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า” คริสกระซิบเสียงเข้มก่อนย้ำ
“เวลาที่ฉันมองหน้านาย”

.
.

สีแดง
สีของเปลวไฟที่ร้อนแรง สีของกลีบกุหลาบที่หอมระริน สีของแก้มนวลยามเมื่อเขินอาย สีของริมฝีปากที่เผยอออกน้อยๆ ทว่างดงามยิ่งกว่าสีแดงของดอกไม้ใด และ สีของหัวใจที่เต้นระรัว
สีของความรัก
เคยไหมที่รู้สึกว่า อยากครอบครองใครสักคนมากจนเก็บเอาไว้ไม่ได้ เคยไหมที่เบื้องลึกของหัวใจเรียกร้องสัมผัสที่ค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาจนเต็มดวง เหมือนเปลวไฟดวงน้อยที่ให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว
เมื่อรู้ตัวอีกที เราก็ขาดรอยยิ้มที่สดใสและอ้อมกอดที่เหมือนดวงตะวันนั้นไม่ได้เสียแล้ว
นั่นคือความรู้สึกของคริสในตอนนี้
รสขมปร่าทว่านุ่มลิ้นของเบียร์รสเลิศยังคงอวลอยู่ที่ปลายลิ้น คริสยังครองสติได้มากกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ด้วยปริมาณเบียร์ที่ดื่มเรื่อยๆจนรู้ตัวอีกทีก็เมาเสียแล้ว แต่ไม่ใช่เบียร์หรอกที่ทำให้เขาเมามาย น่าจะเป็นลมหายใจร้อนๆที่ระอยู่ที่ซอกคอมากกว่าที่ทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จะเรียกว่าเมาก็คงไม่ถูกนัก
เรียกว่าอะไรดีล่ะหรือ น่าจะเป็นคำว่าหลงกระมัง
ยิ่งมือเรียวค่อยๆไล่ไปปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตของตัวเองก็ยิ่งทำให้คริสหลงจนปล่อยมือจากร่างขาวนวลตรงหน้าไม่ได้ รอยยิ้มของชานยอลในตอนนี้มันช่างหวานฉ่ำยิ่งกว่าผลไม้อะไรทั้งนั้น ฉ่ำมากจนคริสกล้าพอที่จะโน้มริมฝีปากลงไปเพื่อลิ้มรสความหอมหวานที่ปนความขมที่นุ่มนวลนั้น
และสิ่งที่ได้รับ คือสัมผัสแผ่วเบาที่เต้นระบำไปพร้อมกับริมฝีปากอุ่นร้อนนั้น ชานยอลรับจูบที่คริสมอบให้อย่างเต็มใจ ดวงตากลมโตหรี่ลงด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ แม้จะเป็นการตอบรับที่ขลาดเขินก็ตาม
มันเป็นจูบแรกของคริสกับชานยอล

.
.

ทั้งคู่จูบกันอย่างสนิทสนมและดื่มด่ำจนสมองของชานยอลหมุนคว้างคิดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มจำต้องยอมรับต่ออารมณ์ปรารถนาที่อี้ฟานปลุกเร้าขึ้นในตัว ความหิวกระหายดุดันไม่คาดคิดภายในร่างกายทำให้ตัวเองนึกประหลาดใจ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตัวเองจะถูกคลื่นความปรารถนารุนแรงโถมเข้าใส่จนแทบตั้งตัวไม่ติด
มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ แม้กระทั่งในตอนที่อี้ฟานบรรจงถอดเสื้อของเขาออกอย่างเชื่องช้าและอ่อนโยน ร่างสูงลดปากลงหากุหลาบตูมสีชมพู ห่อหุ้มมันด้วยปลายลิ้นอย่างอ่อนโยน อี้ฟานเย้ายวนด้วยลิ้นแล้วใช้ฟันขบเม้มอย่างเร้าอารมณ์ เมื่อเขาเริ่มดูดมันเบาๆ ชานยอลก็นึกว่าตัวเองใกล้เสียสติเต็มที
แต่มือที่ลูบไล้ตามร่างกายทำให้สมองของชานยอลปั่นป่วนไปหมด อี้ฟานดูจะดักทางได้ทุกอย่างว่าเขาต้องการสัมผัสตรงไหนและจะสัมผัสอย่างไร ภายใต้นิ้วมือเรียวที่ค่อยๆลากไล้วนไปตามผิวเนื้ออ่อนนุ่มดุจไหมตรงต้นขาด้านใน เรียวขาขาวนุ่มของชานยอลก็ค่อยๆขยับออกช้าๆเป็นเชิงเชิญชวนอย่างไม่รู้สึกตัว
ปากของอี้ฟานค่อยๆเลื่อนต่ำลงจนพบความอบอุ่น ชานยอลตัวสั่นสะท้านขณะยึดอี้ฟานไว้แน่น ความรู้สึกแปลบปลาบไหลไปทั่วร่าง กล้ามเนื้อทุกมัดเกร็งแน่นด้วยความปรารถนาที่ขดตัวแน่นจนแทบจะระเบิดเป็นความสุข ความปลาบปลื้ม ความยินยอมพร้อมใจ และความไม่คุ้นชินนี้ชวนให้เสพติดได้ง่าย
ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากฤทธิ์ของเครื่องดื่มรสขมปร่านั้น
“ปล่อยใจให้สบาย” อี้ฟานกระซิบที่ข้างหู “ฉันจะดูแลนายเอง” เสียงทุ้มของเขากระซิบแหบพร่าอยู่ที่ข้างหู ทว่าหนักแน่นในความรู้สึก
ชานยอลไม่ตอบ ทว่าพยักหน้า อายจนแทบจะแทรกฝังหน้าเข้าไปกับแผงอกกว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเรียงตัวสวยสมบูรณแบบนั่น ก่อนริมฝีปากบางจะทาบมาประกบลิ้มรสหอมหวานจากริมฝีปากครั้งแล้วครั้งเล่า
“อ๊ะ .... อื้อ ....”
“นายโอเคไหม”
ชานยอลพยักหน้า ก่อนแนบใบหน้าเข้ากับอกกว้างอีกครั้ง อี้ฟานค่อยๆผ่อนแรงก่อนที่ความแข็งแกร่งจะเข้าสู่ช่องทางอันอ่อนนุ่มของชานยอลช้าๆ
“ใจเย็นๆนะ ค่อยๆหายใจเข้า หายใจออกช้าๆ อย่างนั้นแหละ เจ็บนิดหนึ่งนะคนดี” ส่วนอ่อนไหวของอี้ฟานเข้ามาในช่องทางอันอ่อนนุ่มได้ครึ่งแล้ว
“จะ..เจ็บ อ๊ะ ” ชานยอลเผลอครางออกมาด้วยความเจ็บ หน่วยตาเรียวมีน้ำตาคลอเบ้า แต่อี้ฟานก็จูบซับไว้หมด
“อีกนิดคนดี” ก่อนที่ร่างสูงจะตัดสินใจเฮือกสุดท้าย กระแทกส่วนกลางลำตัวของเขาเข้าไปในช่องทางอันอ่อนนุ่มของชานยอลอย่างรวดเร็ว
“อ๊าาาาาาาาา”
ชานยอลกรีดร้องออกมา ก่อนที่อี้ฟานจะย้ำความเป็นเขาเข้าไปทุกตารางนิ้วในร่างกายของชานยอล
“อย่ากลัวนะ ฉันจะอ่อนโยน” เมื่อความเจ็บปวดเริ่มหายไป และร่างกายของชานยอลก็เริ่มคุ้นเคยกับอี้ฟาน ร่างสูงจึงขยับตัวเป็นจังหวะลึกซึ้งและเนิบช้าจนชานยอลเผลอครางออกมาอย่างสุขสม และเหมือนถูกคลื่นซัดให้จมอยู่ในคลื่นอารมณ์แปลกใหม่ที่เหมือนจะก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ชานยอลเกาะเกี่ยวอี้ฟานไว้เมื่อร่างกายเหมือนจะระเบิดด้วยความรู้สึกแปลกใหม่
“อี้...ฟาน”
และทุกครั้งที่เรียกชื่อ อี้ฟานจะตอบรับด้วยการก้มลงมาจูบรับขวัญเนิ่นนาน
คำว่ารักที่บอกแผ่วเบาก่อนที่ทั้งคู่จะหลับลง มันช่างหนักแน่นและฝังตัวอยู่ทั่วร่างของชานยอล ชายหนุ่มลืมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ยกเว้นคำว่ารักของอี้ฟานและอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขาเท่านั้น

i128lala
Admin

Posts : 44
Join date : 2014-03-08

https://i128lala.thai-forum.net

Back to top Go down

Back to top


 
Permissions in this forum:
You cannot reply to topics in this forum